วันศุกร์ที่ 25 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

คานทองนิเวศน์

ภาษาอังกฤษวันละคำวันนี้ ขอเสนอคำว่า "ขึ้นคาน"

คำว่า ขึ้นคาน เป็นสำนวนหมายความถึง ผู้หญิงที่มีอายุมากจนเลยวัยสาวรุ่นแล้วยังไม่ยอมออกเรือนหรือแต่งงานไป เป็นคำที่มีนัยในเชิงตำหนิ เพราะในความเชื่อของไทยตั้งแต่สมัยโบราณมาแล้ว ผู้หญิงจะต้องมีผู้ชายไว้คอยปกป้องดูแล เป็นผู้นำในครอบครัว (ช่างดูเป็นการเหยียดเพศพอสมควรเลยทีเดียว)

ครั้งอดีต วิถีไทยใกล้ชิดแม่น้ำลำคลอง บ้านเรือนส่วนใหญ่หันหน้าหาสายน้ำมีเรือเป็นพาหนะสำคัญพาสัญจรไปมา ครั้นเมื่อใช้นานเข้าเรือมีอันเกิดชำรุดเสียหายต้องซ่อม ยามจะซ่อมต้องยกขึ้นมาบนบกซึ่งทำที่รับเรือรอไว้แล้ว ที่รับเรือนั้นเรียกว่า "คาน"

อาศัยอรรถาธิบายจากขุนวิจิตรมาตรา ปราชญ์ภาษาไทย ท่านว่า สำนวน "ขึ้นคาน" มาจากเรียกเรือที่ยกขึ้นพาดไว้บนคานเพื่อซ่อมรอยรั่ว ยาชัน ทาน้ำมันใหม่ ในตอนนั้นเรือใช้ประโยชน์ไม่ได้ ค้างเติ่งอยู่บนคาน เรียกว่าขึ้นคาน

ต่อมาจึงนำคำว่า ขึ้นคาน เป็นสำนวนเรียกสตรีผู้ถึงวัยมีลูกมีผัวแล้วแต่ยังเล่นเนื้อเล่นตัว ไม่ยอมตกร่องปล่องชิ้นมีคู่เสียที จึงถูกนำไปเปรียบเทียบกับเรือ
ถ้าเรือรั่วหรือชำรุดเสียหาย เจ้าของนำขึ้นมาซ่อมบนบก ก็ต้องทำคานสำหรับรองเรือไว้ เรือที่ขึ้นคานจึงอยู่ห่างน้ำ เมื่อเรือห่างน้ำก็เหมือนเสือห่างป่าจะมีคุณค่าอันใดคนไทยแต่โบราณ จึงนำเอาคำว่าขึ้นคานมานิยามหญิงที่ยังไม่แต่งงานจนล่วงเลยวัยสาวไปแล้วนั่นเอง
(อ้างอิงจาก http://guru.sanook.com/8926/)

ภาษาอังกฤษ หลายคนกลับเรียกว่า spinster /ˈspɪnstə $ -ər/ อ่านว่า สปินสเต้อร์ หมายถึง หญิงแก่ที่ไม่แต่งงาน ยังโสด ดูเป็นความหมายไปในทางลบมากๆเลย เพราะคำๆนี้หมายถึงผู้หญิงแก่ที่ไม่สวยหรือนิสัยไม่ดี เลยไม่มีใครอยากจะแต่งงานด้วย

แต่มาดูคำที่ใช้เรียกผู้ชายโสดกันบ้าง ในภาษาอังกฤษ เขาจะเรียกว่า   bachelor ˈ/bætʃələ $ -ər/ อ่านว่า แบชเชอเล่อร์ หมายถึง ผู้ชายที่ไม่เคยแต่งงานมาก่อน และยังเป็นโสดอยู่ อีกความหมายนึงของคำนี้ หมายถึง บัณฑิต หรือหมายถึงปริญญาตรีนั่นเอง เช่น Bachelor Degree 

ช่างดูแตกต่างกับฝ่ายหญิงเสียเหลือเกิน ยิ่งเป็นการยืนยันว่า สิทธิของผู้หญิงไม่เทียบเท่ากับผู้ชายมาตั้งแต่ครั้งโบราณกาลมาแล้ว

ดังนั้นจึงขอสนับสนุนไม่ให้ใช้คำทั้ง 2 คำนี้ เพราะเป็นการไม่ให้เกียรติฝ่ายหญิงจนเกินไป แต่ควรจะหันกลับมาใช้คำะรรมดาๆ คือคำว่า single /ˈsɪŋɡəl/  อ่านว่า ซิ้งเกิล แปลว่า โสด หรือ unmarried /ˌʌnˈmærid/ อ่านว่า อันแมริด ที่แปลว่า ไม่แต่งงานแทนจะดีกว่า

เพราะชีวิตครอบครัวก็เหมือนว่าคนในอยากออก คนนอกอยากเข้า การแต่งงานหรือมีคู่ ก็เหมือนการซื้อลอตเตอรี่ ไม่รู้ว่าใบที่ได้มานั้นจะได้รางวัลหรือเป็นใบที่เสียเงินโดยเปล่าประโยชน์

ปัจจุบันทั้งผู้หญิงและผู้ชายต่างคิดว่าอยู่คนเดียวก็สบายใจดี เป็นอิสระ ไม่ต้องทะเลาะ ไม่ต้องวุ่นวาย ซึ่งก็นานาจิตตัง ถ้าแก้ไขเรื่องความเหงาได้ โดยมีกลุ่มเพื่อนหรือกิจกรรมต่างๆทำ มีเงินเก็บไว้ยามชราเพื่อรักษาตัวเองในอนคตให้อยู่รอดปลอดภัย ก็จะเรียกว่า โสดแบบมีความสุข เพราะคนที่มีลูก หลาน มีครอบครัวก็ใช่ว่าพวกเขาจะมาดูแลเราได้เสมอไป ดังนั้น อัตตาหิ อัตโนนาโถ ตนแลเป็นที่พึ่งแห่งตนค่ะ

--- Either Single or Married can be live on earth with the happiness ---

วันพฤหัสบดีที่ 24 พฤศจิกายน พ.ศ. 2559

Hundred/ Thousand/ Million/ Billion VS Hundreds/ Thousands/ Millions/ Billions

ภาษาอังกฤษวันละหลายคำวันนี้ เสนอคำว่า

Hundred/ Thousand/ Million/ Billion VS Hundreds/ Thousands/ Millions/ Billions

Hundred อ่านว่า ฮันเดริด แปลว่า ร้อย/ Thousand อ่านว่า เธ้าเซิ่น แปลว่า พัน/ Million อ่านว่า มิ้ลเลิ่น แปลว่า ล้าน/ Billion อ่านว่า บิ้ลเลิ่น แปลว่า พันล้าน

สรุปง่ายๆว่าการเติม s กับไม่เติม s ต่างกันตรงที่ ถ้า
มีการระบุตัวเลขที่แน่นอน ห้ามเติม s เด็ดขาด เช่น four hundred, five thousand, two million, seven billion
*** แต่ถ้ามีการเติม a จะแปลว่า โดยประมาณคือ 1 เช่น a hundred = ประมาณ 100***

แต่ถ้าไม่มีการระบุตัวเลขแน่นอน สามารถเติม s ได้ โดยจะแปลว่า หลาย
และเป็นการไม่ระบุจำนวนที่แน่นอนแทน เช่น
He won millions of dollars in the lottery.
ฮี วัน มิ้ลเลิ่น ซอฟ ดอลเล่อร์ ซิน เดอะ ลอททรี่ (อ่านแบบโยงเสียง)
เขาถูกลอตเตอรี่หลายล้านดอลล่าร์
He has five million on his bank account.
ฮี แฮส ไฟว์ มิ้ลเลิ่น ออน ฮีส แบงค์ แอ๊คเค่าท์
เขามีเงินห้าล้านดอลล่าร์ในบัญชีของเขา

ภาษาพาสนุก ตอน Thailand Only

มาลองดูคำถอดเสียงภาษาอังกฤษให้มาเป็นภาษาไทยกันบ้างค่ะ น่าสนใจดี !!!

เปิ๊ดสะก๊าด- เฟิร์สท คลาส First Class หรืออาจจะมาจาก เปิ๊ดสะก๊าด มาจากคำว่า Postcard คือ สมัยก่อนสัก 50 ปีมาแล้วนี่นิยมเอาดาราภาพยนตร์ ( ส่วนมากเป็นดาราฮอลลีวู๊ด )มาถ่ายรูปขนาดเท่า postcard อัดแล้วเอามาวางขาย อีกด้านใช้เขียนข้อความปะแสตมป์ส่งเป็นจดหมายได้ด้วย เป็นที่นิยมมาก ดาราหญิงมักแต่งตัวโป๊หน่อยๆ ก็เลยเป็นที่มาของคำนี้ ถ้าจำไม่ผิดคนที่เอาคำนี้มาใช้เป็นคนแรกคือคุณ ชูศรี โรจนประดิษฐ์ ดาวตลกหญิงสมัยก่อนรุ่นเดียวกับคุณสมพงษ์ พงษ์มิตร และป๋าต๊อก
แบงค์ (ธนาคาร/ธนบัตร (bank note))
แสลง (Slang)
หมอปลัดเล (Bradley)
หมอฟ้าลั่น (Macfarland)
ดันกัน (Duncan)
ฝาศุภเรศ (Phosphorus) ชอบอ่า
พุทธเกษ (Portuguese)
มัคสิน (Magazine)
engineer อินทาเนีย
station กะเตแท่น
survey สาระเว
piping ปะปา->ประปา สวดยวด
สบู่ นี่ที่เพิ่งอ่านมา เขาบอกว่ามาจากการที่พ่อค้าญี่ปุ่นที่นำเข้า SOAP เข้าเป็นรายแรก ด้วยความด้อยของภาษาญี่ปุ่นที่ออกเสียง โซบไม่ได้ แต่ออกเป็น โซ-ปุ ไทยเราก็เพี้ยนต่อมาอีกที
Communication = คมนาคม
กาละแม = caramel
น้ำมะเน็ด= เลมอนเนด lemonade
กปิตัน = captain กัปตัน คำนี้เจอในจดหมายที่ท้าวเทพกระษัตรีท้าวศรีสุนทร สองวีรสตรีแห่งเมืองถลาง หรือจ.ภูเก็ต เขียนหา รัชกาลที่1 อ้างอิงถึงบุคคลชื่อ กัปตันฟรานซินสท์ไลท์ ท่านเรียกว่า พระยาราชกปิตัน
วาฬ หรือ ปลาวาฬแต่เรียกปลาไมไ่ด้แล้วเพราะปลาวาฬเป็นสัตว์เลี้ยงลูกด้วยนม ไม่ใช่ปลา มาจากคำว่า whale
โทร= tele
บ๋อย= บอย boy
สยาม กัมมาจล= Siam Commercial
ตะแล็ปแก๊ป (telegram)
นายแร้งกิน (Mr. Rankin)
น้ำมะเน็ด (lemonade) -- คำนี้เดาเอาเองค่ะ น่าจะใช่นะ เสียงมันไปได้ อิอิ
หันแตร บาระนี (Henry Burney)
อีหรอป(Europe)
อาเปิ้น(apple)
ซิเต๊ก (steak)
ซิตู(stew)
กีบม้า (ภรรยาฟอลคอนหรืออกญาวิชเยนทร์ ชื่อจริงๆคือ กีร์มา คนคิดฝอยทอง ทองหยิบ ทองหยอด)
กัดฟันมันสยาม Government of Siam
จอน กะลาฝัด John Crawford
วัน วลิต (ฟอน ฟลีต)
ราชปะแตน (Royal Pattern) หรือ Raj Pattern แปลว่า แบบหลวง เอามาจากบาลีด้วย
แบ๊ว (เข็มขัด) คิดได้ก่อนเด็กสมัยนี้อีก 555
บ่าต่อม (กระดุม - bottom)
สัปเจ๊ก (subject - คนในบังคับ)
มูลีกะแร็ต (ซิกาแรต)
กระดาษ(เพี้ยนมาจาก กราทัส ซึ่งเป็นชื่อของพ่อค้าที่นำกระดาษมาขาย)
ญี่ปุ่น(เพี้ยนจากชื่อประเทศเป็นภาษาของเขา นิฮง นิปปอน หรือบางกระแสก้อบอกว่ามาจากภาษาจีนแต้จิ๋ว ว่า หยิกปุ้ง จีนกลาง ยรื่อเปิ่น ก้อได้)

ภาษาพาสนุก

ภาษาพาสนุก..........

เธอขับรถซิ่งจังเลย ซิ่งเป็นคำภาษาอะไร
คำว่า ซิ่ง เป็นคำยืมมาจากภาษาอังกฤษ คำว่า Racing เรซ-ซิ่ง แปลว่าการแข่งขันนั่นเอง เช่น car racing

พระเจ้าเหามาจากไหนกัน
พระเจ้าเหาเป็นคำที่เพี้ยนมาจากภาษาเปอร์เซีย ที่สมัยหนึ่งเป็นชาติที่ทำการค้ากับกรุงสยาม คำว่าพระเจ้าเหาเกิดจากสมัยพระนารายณ์ มาจากคำว่า เฮาเซาะห์ ใช้เรียกอาคารหลังหนึ่งในนารายณ์ราชนิเวศน์ใช้เป็นหอประชุม คนไทยเอามาใช้เปรียบเทียบว่านานมาก คือนานไปถึงสมัยพระนารายณ์นั่นเอง

ทำไมต้องผ้าขาวม้า เกี่ยวอะไรกับม้าสีขาวหรือเปล่า
คำว่าผ้าขาวม้ามาจากภาษาเปอร์เซียเช่นเดียวกัน คือคำว่า คะมาบัน คนไทยได้ยินว่า คะม้าๆๆๆ ก็เลยเพี้ยนเป็นขาวม้า คะมาบันแปลว่า พัน,รัด หรือคาดเอว

ทำไมต้องสีกากี เอ๊ะเกี่ยวกับนางกากีหรือไม่
สีกากีมาจากภาษาเปอร์เซียอีกเช่นเดียวกัน คือคำว่า กาเวอิ แปลว่า สีน้ำตาล จ้าาา คนไทยเราเก่งนะในด้านการฟังภาษาต่างประเทศ แล้วเพี้ยนมาเป็นภาษาไทย ไทยแลนด์โอนลี่จริงๆ

ทำไมเออออต้องห่อหมก
สำนวนว่า เออออห่อหมก เป็นสำนวนจากการจัดขบวนขันหมากในงานแต่งงาน คำว่าห่อหมก เป็นของที่ใช้ในการแห่ขันหมาก เจรจาสู่ขอ ซึ่งถือว่าเป็นการคล้อยตาม หรือยินยอมร่วมกัน นั่นเอง

สำนวนที่ว่าแมวไม่อยู่หนูร่าเริง อันนี้เป็นสำนวนที่ผิด จริงๆที่ถูกต้องใช้ว่า
แมวไม่อยู่หนูละเลิง ในที่นี้ละเลิง หมายถึง เหลิงจนลืมตัวเพราะลําพองหรือคึกคะนอง

จระเข้มาแล้วจ้า ... ภาค 2

วันนี้ได้ยินเพลงลูกทุ่งของคุณคัทลียา มารศรี ชื่อเพลงว่า น้ำตาจระเข้ ก็เลยเกิดความสงสัยว่า มันคืออะไร และแล้วก็ได้คำตอบดังนี้ค่ะ

น้ำตาจระเข้ Crocodile's tear เป็นสำนวนฝรั่ง 

หมายถึง การเสแสร้งแกล้งทำ ร้องไห้ออกมาเพื่อแสดงให้คนอื่น เห็นว่าสิ่งที่ผู้อื่นกำลังประสบปัญหายากลำบากนั้นตัวเองก็เสียใจอย่างยิ่ง เสียใจมากๆ แต่ความจริงแล้วนั้นเป็นการกลบเกลื่อนปิดบังการเอาเปรียบที่ตัวเองได้กระทำต่อคนผู้นั้น บีบน้ำตาสงสารแต่ลับหลังเอาเปรียบสารพัด ไม่มีความจริงใจ
เหมือนจระเข้เวลางับเหยื่อจะมีน้ำตาไหลออกมาแท้จริงแล้วมันไม่ได้
สงสารอะไรเหยื่อที่มันจะกินเลย เพียงแต่ตอนมันงับเหยื่อเข้าปากนั้น กระดูกขากรรไกรนั้นไปบีบต่อมน้ำตาของมัน ทำให้น้ำตาของจระเข้นั้นไหลออกมาโดยอัตโนมัติ
เปรียบกับคนที่แกล้งบีบน้ำตาร้องให้เพื่อกลบเหลื่อนเรื่องราวผิดๆ ที่ตัวเองทำไม่ดีเอาไว้นั่นเอง


จระเข้มาแล้วจ้า...

ภาษาอังกฤษวันละหลายคำวันนี้ ขอเสนอสำนวนไทยที่ว่า 

ลิ้นจระเข้ หมายถึงกินไรก็ว่าอร่อย เหมือนกับว่าไม่มีลิ้นคอยรับรสชาติ คนชอบคิดว่าจระเข้ไม่มีลิ้น เพราะพอลองไปอ้าปากจระเข้ดู ก็ไม่เห็นมีลิ้นจริงๆ แต่ๆๆๆๆ จระเข้ก็มีลิ้น เพียงแต่ลิ้นของจระเข้ไม่ได้เป็นชิ้นดิ้นไปมาในปากได้เหมือนลิ้นของเรา แต่มันจะเป็นแผ่นใหญ่ๆติดอยู่กับปากช่วงล่างของจระเข้
ในภาษาอังกฤษ อย่าแปลตรงตัวนะคะว่า crocodile tongue (ครอกโคไดล์ ทัง) เพราะมันจะกลายเป็นชื่อภาวะในปากแทนค่ะ คือ ภาวะลิ้นย่นริ้ว หมายถึง ภาวะที่ลิ้นมีลักษณะเป็นร่องลึก เป็นรอยแยกประมาณ 2-6 มิลลิเมตร จึงมักจะมีเศษอาหารฝังอยู่ให้เกิดการระคายเคือง
แต่คำว่า ลิ้นจระเข้ ในภาษาอังกฤษ เค้าจะใช้คำว่า super taster (ซูเปอร์ เทสเท่อร์) แทนค่ะ หมายถึงยอดนักชิม ชิมอะไรก็อร่อย
คำว่า taste (เทสท์) เป็นคำนาม หมายถึง รสชาติ หรือ รสนิยม แต่ถ้าเป็นกริยา ถ้าหมายถึงชิม จะต้องตามด้วยคำนาม แต่ถ้าจะแปลว่ามีรสชาติ ต้องตามด้วยคำคุณศัพท์ หรือ adjective ค่ะ เช่น
I taste this soup. This soup tastes delicious.
ไอ เทสท์ ธีส ซุพ ธีส ซุป เทสท์ส ดีลี้เชียส
ฉันชิมซุปนี้ ซุปนี้มีรสชาติอร่อย
taste ตัวแรกที่แปลว่าชิมจะตามด้วยคำนามคือ soup
taste ตัวที่สอง แปลว่า มีรสชาติ จะตามด้วย adjective คือ delicious
***แต่ถ้ามีการเติม er จะทำให้กริยานั้นกลายเป็นคนกระทำกริยานั้นแทน เช่น taste แปลว่า ชิม taster แปลว่า นักชิม***
เช่นเดียวกับ สำนวนรีดเลือดกับปูค่ะ คนชอบคิดว่าปูไม่มีเลือด จระเข้ไม่มีลิ้น จริงๆไม่ใช่ค่ะ ปูก็มีเลือด แต่เป็นเลือดสีฟ้าใสที่มีอยู่น้อยนิด และเรามองไม่เห็น ดังนั้นสำนวนนี้จึงหมายถึงการพยายามที่จะเรียกร้องเอาสิ่งของ โดยเฉพาะเงินทองจากผู้ที่ไม่สามารถให้ได้ (สำนวนอังกฤษรวมไปถึงผู้ที่ไม่เต็มใจจะให้ด้วย)
แต่ในสำนวนภาษาอังกฤษ จะเรียกว่า
get blood from a stone (เก๊ท บลัด ฟรอม เออะ สึโตน)
ฝรั่งจะถือว่าเอาเลือดออกจากหินแทนค่ะ
***สิ่งใดก็ตามที่คิดว่าไม่มี อย่าคิดว่ามันไม่มีจริงๆ***

Rabbit กระต่ายน้อย

ภาษาอังกฤษวันละหลายคำวันนี้ขอเสนอคำว่า 
Rabbit (แร้บบิท) ทุกคนรู้อยู่แล้วว่าหมายถึง กระต่าย แต่ในภาษาอังกฤษที่เป็นทั้งสำนวนและคำสแลงนั้นมีหลายความหมายด้วยกันค่ะ


ก่อนอื่นขอบอกก่อนว่า คำที่มีความหมายเดียวกับคำว่า rabbit มีดังต่อไปนี้ 

bunny บันนี่/ hare แฮร์ กระต่ายป่า/ buck บั๊ค หรือในการ์ตูน Buck Bunny / cony โคนี่ (อ๋อ ชื่อตัวการ์ตูนในไลน์)/

คราวนี้มาดูสแลง (slang) เกี่ยวกับ rabbit กันบ้างค่ะ ในที่นี้จะใช้ในภาษาพูดเท่านั้น ไม่ใช้ในภาษาเขียนค่ะ ได้แก่
- rabbit เป็นกริยา แปลว่า หนีอย่างเร็ว เช่น He rabbited as soon as he saw us. ฮี แรบบิททึด แอส ซูน แอส ฮี ซอว์ อัส = เขารีบหนีอย่างเร็วทันทีที่เขาเห็นเรา

- rabbit เป็นกริยา แปลว่า ขโมย ฉกฉวย เช่น This boy will rabbit your money if you sleep. ธีส บอย วิล แรบบิท ยัวร์ มันนี่ อี๊ฟ ยู สลี้ป = เด็กผู้ชายคนนี้จะขโมยเงินของเธอถ้าเธอหลับ
***เหมือนที่ตัวการ์ตูนที่เป็นกระต่ายชื่อ มาชิโมโร่ ที่ชอบขโมยผักจากเพื่อน***

- rabbit เป็นกริยา แปลว่า พูดมาก เช่น Stop rabbiting, and go to bed. สต๊อป แรบบิททิ่ง แอนด์ โก ทู เบด = หยุดพูดมากแล้วไปนอนซะ
***หลังคำว่า stop ถ้าเติม v. ing จะแปลว่า หยุดทำสิ่งนั้น แต่ถ้า stop + to v.1 แปลว่า หยุดทำอะไรสักอย่างเพื่อมาทำอีกอย่างนึง เช่น stop to read books แปลว่า หยุดเพื่อที่จะมาอ่านหนังสือ***

มาดูสำนวน (idiom) กันบ้าง
- pull a rabbit out of the hat (พุล เออะ แรบบิท เอ๊าท์ ออฟ เดอะ แฮท) แปลว่า ทำในสิ่งที่คาดไม่ถึง แต่ก็แก้ปัญหาได้ เช่น
My brother pulls a rabbit out of the hat to earn much more money.
มาย บราเธอร์ พุลส์ เออะ แรบบิท เอ๊า เทิฟ เดอะ แฮท ทู เอิร์น มัช มอร์ มันนี่
พี่ชายฉันทำบางสิ่งเพื่อให้ได้เงินมามากขึ้น
***คิดว่าน่าจะคล้ายๆกับการเล่นมายากลนั่นเอง ที่มีการดึงกระต่ายออกมาจากหมวก ก็คือทำให้คนดูคิดไม่ถึงนั่นเอง แต่การแสดงก็ผ่านไปได้***

- thank your mother for the rabbits (แธ้ง คิ่ว ม้าเธอร์ ฟอร์ เดอะ แรบบิทส์) เป็นสำนวนของชาติออสเตรเลีย แปลว่า แสดงความขอบคุณ เช่น
see you tomorrow and thank your mother for the rabbits.

ปิดท้ายด้วย รู้หรือไม่ว่า ทำไมยี่ห้อ Playboy จึงเป็นรูปกระต่าย นั่นก็เพราะกระต่ายเป็นสัตว์แพร่พันธุ์เร็วและตั้งท้องแป๊บเดียวก็คลอด ดังนั้นจึงเอามาเปรียบกับผู้ชายนั่นเอง แต่เพื่อให้เกิดความเท่าเทียมก็มีคำว่า playgirl มาด้วยกันค่ะ ก็แปลรวมๆ กันว่า เป็นคนรักสนุก และเจ้าชู้ อุ๊บส์ !!!!!


ต้นสัตตบรรณ- ต้นไม้ปีศาจ Devil Tree

ภาษาอังกฤษวันละคำวันนี้ขอเสนอคำว่า

ต้นสัตตบรรณ หรือต้นตีนเป็ด หลังจากที่ช่วงนี้ออกดอกบานสะพรั่ง ส่งกลิ่นหอม (หรือเหม็น)อบอวล จนบางคนก็มึนกันไป แต่ส่วนตัวรู้สึกชอบ มาดูประวัติของต้นไม้นี้กันค่ะ
ต้นตีนเป็ดขาว ในภาษาบาลีเรียกว่า “ต้นสัตตบรรณ” หรือ “ต้นสัตตปัณณะ” มีชื่อเรียกในอินเดียว่า “สตฺตปณฺณรุกข” ซึ่งแปลว่าเป็นไม้ที่มี 7 ใบ เป็นต้นไม้ที่ขึ้นปากถ้ำที่เมืองราชคฤห์ จึงเรียกถ้ำนี้ว่า “สตฺตปณฺณคูหา” ในบริเวณนี้เป็นที่ทำการสังคายนาพระไตรปิฎกครั้งแรก โดยพระเจ้าอชาตศัตรู ทรงรับเป็นผู้อุปการะในการสังคายนา รวมทั้ง ได้ทรงสร้างธรรมศาลา และกุฏิสำหรับพระภิกษุสงฆ์จำนวน 500 รูป
ต้นสัตตบรรณ มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า Alstonia scholaris
ด้วยความที่ใบเป็นใบเดี่ยวมนรี ปลายใบมนโคนใบแหลมก้านใบสั้น แตกใบออกรอบข้อเป็นวง เรียงกันคล้ายตีนเป็ด จึงมักเรียกกันทั่วไปว่า “ต้นตีนเป็ด”
และมีชื่อสามัญในภาษาอังกฤษว่า blackboard tree, indian devil tree, ditabark, milkwood pine, white cheesewood มีชื่อวิทยาศาสตร์ว่า alstonia scholaris
ดูจากชื่อภาษาอังกฤษ ต้นไม้นี้จะมีความเกี่ยวข้องกับ อินเดีย และด้วยกลิ่นรัญจวนจนทำคนมึนหัว เลยได้ชื่อว่า devil tree เดวิล ทรี หรือต้นไม้ปีศาจส่วนที่ได้ชื่อว่า milkwood หรือ white cheesewood ก็เพราะว่า ผิวลำต้นมีสะเก็ดเล็กๆ สีขาวปนน้ำตาล เปลือกสีเทา มียาง สีขาว เนื้อไม้สีขาวอมเหลือง นั่นเอง